ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น
"สมัยเริ่มอารยธรรมญี่ปุ่น"
สมัยเริ่มอารยธรรมญี่ปุ่น
ยุคโคะฟุง ราวปี ค.ศ.250 เรื่อยมาจนถึงการเข้ามาของศาสนาพุทธ กระทั่งคริสต์ศตวรรษที่ 7 เรียกว่า ยุคโคะฟุง หรือ โคะฟุงจิได (Kohufun-jidai) ตั้งชื่อตามสุสานที่นิยมสร้างขึ้นกันในยุคดังกล่าวทั่วประเทศ รัฐเล็กๆ เหล่านั้นค่อยๆ รวมตัวกัน
และต่อมาไม่นาน ก็มีชาวจีนจำนวนหนึ่งย้ายมาตั้งถิ่นฐานในญี่ปุ่น
และนำอารยธรรมแบบจีนมาเผยแผ่ญี่ปุ่น ซึ่งขณะนั้นอารยธรรมญี่ปุ่นยังไม่เจริญนัก
ทำให้อารยธรรมญี่ปุ่นส่วนมากมีอิทธิพลมาจากจีน
และจนถึงปัจจุบันอารยธรรมญี่ปุ่นก็ยังคล้ายคลึงกับจีนอยู่ไม่มากก็น้อย
ในศตวรรษที่ 4
กลุ่มผู้มีความเข้มแข็งทางการเมือง ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่ที่ราบยะมะโตะ (Yamato)
ใกล้จังหวัดนารา (Nara-ken) ในปัจจุบัน
ได้มีอำนาจปกครองประเทศตั้งแต่ศตวรรษที่ 4 จนถึงศตวรรษที่ 6 มีการพัฒนาทางด้านเกษตรกรรมขนานใหญ่
และวัฒนธรรมจีนรวมทั้งลัทธิขงจื๊อและศาสนาพุทธได้เผยแพร่เข้ามาในประเทศญี่ปุ่นผ่านทางเกาหลี
ถึงปลายศตวรรษที่ 4
ได้มีการติดต่อระหว่างญี่ปุ่นกับอาณาจักรบนคาบสมุทรเกาหลี ศิลปะ อุตสาหกรรมต่างๆ
เช่น การทอผ้า งานโลหะ การฟอกหนัง และการต่อเรือญี่ปุ่นได้รับเอาตัวอักษรแบบจีนซึ่งมีรากฐานมาจากอักษรภาพมาใช้
และโดยผ่านทางสื่อตัวอักษรนี้เอง ชาวญี่ปุ่นได้เรียนความรู้เบื้องต้นทางการแพทย์
การใช้ปฏิทินและดาราศาสตร์ ตลอดจนปรัชญาของลัทธิขงจื๊อ

"สุสานจักรพรรดินินโตะกุในสมัยยุคโคะฮุง"
ยุคอะซึกะ
ยุคอะซึกะ หรือ
อะซึกะจิได (Asuka-jidai) คือยุคที่ศูนย์กลางของระบอบกษัตริย์ในราชวงศ์ยะมะโตะ
ตั้งอยู่ในอะซึกะ จังหวัดนะระ ดำรงอยู่ตั้งแต่ช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 6 ถึง 8 ในปี ค.ศ.538
เมื่อศาสนาพุทธได้เข้ามาในญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกจากประเทศอินเดียโดยผ่านทางจีนและเกาหลี
ผู้ปกครองประเทศญี่ปุ่นได้ถือระบบการปกครองของจีนเป็นแนวทางในการสร้างระบบการปกครองของตน
ราวปลายคริสต์ศตวรรษที่ 6 ราชวงศ์สุยของจีนได้ทำการรวมประเทศใหม่อีกครั้งในรอบ 400 ปี เจ้าชายโชโตะกุ
ผู้สำเร็จราชกาลแทนจักรพรรดินีซุยโกะจึงทรงส่งคณะราชทูต "เคนซุยชิ"
ไปเจริญสัมพันธไมตรีกับจีน แล้วด้วยเหตุนี้ ญี่ปุ่นจึงได้รับนวัตกรรมใหม่ๆ
จากแผ่นดินใหญ่มาเป็นจำนวนมาก นอกจากนั้นยังทรงตรากฎหมาย 17
มาตรา ที่มีใจความสำคัญเกี่ยวกับการจัดระบบของการเมืองการปกครอง
และความสงบสุขในบ้านเมืองอีกด้วย และเพื่อให้พุทธศาสนาเฟื่องฟูในญี่ปุ่น
พระองค์ยังทรงมีพระดำริให้สร้าง วัดโฮริว
วัดไม้ที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่นด้วยเช่นกัน

"จิตรกรรมฝาผนังบนสุสานทะกะมะสึซึกะ จังหวัดนะระ
ซึ่งเขียนในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 8 ยุคอะซึกะ"
ยุคนะระ
ญี่ปุ่นก้าวเข้าสู่ยุคนะระในปี ค.ศ.710 เมื่อเมืองหลวงถาวรแห่งแรกของญี่ปุ่น
เฮโจเกียวได้รับการสถาปนาขึ้นโดยสร้างตามแบบเมืองฉางอาน (เมืองซีอานในปัจจุบัน)
เมืองหลวงของจีนในขณะนั้น มีราชวงศ์ของญี่ปุ่นเป็นผู้ปกครอง
ราชวงศ์ญี่ปุ่นประทับอยู่ที่เมืองนะระโดยตลอดและขยายอำนาจไปทั่วประเทศทีละน้อยจนรวมประเทศเป็นปึกแผ่นได้
(ยกเว้นโอะกินะวะ และฮอกไกโด) หากแต่ว่าระบอบการปกครองในยุคนี้ใช้ตามแนวคิดแบบจีน
ซึ่งเมื่อมาใช้กับญี่ปุ่นแล้ว ไม่เหมาะสมนัก และเกิดผลกระทบจากความไม่เหมาะสมนั้น
และเกิดเป็นผลกระทบแบบลูกโซ่ ผลสุดท้ายคือ ต้องขึ้นภาษีประชาชนอย่างหนัก
ทำให้เฮโจเกียวเป็นเมืองหลวงได้ไม่นานนัก
และเพื่อหนีอิทธิพลของพระในศาสนาพุทธที่มีอำนาจมาก
เมืองหลวงเฮโจวเกียวจึงถูกย้ายไปยังนะงะโอะกะเกียวในปี ค.ศ.784 และต่อมาที่เฮอังเกียวในปี ค.ศ.794
ทางด้านวัฒนธรรม การแต่งตัว สถาปัตยกรรม ฯลฯ
ยังปรากฏให้เห็นวัฒนธรรมที่ยังคงแบบจีนอยู่
อาจจะมีความแตกต่างกันนิดหน่อยในรายระเอียดย่อยๆ
เช่นบันทึกที่เขียนเป็นตัวอักษรจีนแต่อ่านเป็นภาษาญี่ปุ่น โคะจิกิ
(บันทึกทางประวัติศาสตร์) นิฮงโชะกิ (บันทึกทางประวัติศาสตร์) มังโยชู
(บันทึกเกี่ยวกับวรรณกรรม) ฟูโดะกิ (บันทึกเกี่ยวกับภูมิอากาศ)
อิทธิพลดังกล่าวน่าจะมากจากการที่ราชสำนักญี่ปุ่นได้ส่งคณะราชทูตสู่ราชวงศ์ถังของจีน
"เคนโตชิ" ไปสู่แผ่นดินใหญ่เป็นจำนวนมากเพื่อรับวัฒนธรรม
และสิ่งของต่างๆ จากเส้นทางสายไหม
เช่นถ้วยแก้วจากยุโรปตะวันออกกลับมาสู่ญี่ปุ่นอีกด้วย ตามบันทึกของวรรณคดีประวัติศาสตร์ทั้ง
2 ฉบับนั้น ได้กล่าวถึงการสถาปนาประเทศญี่ปุ่นไว้ว่า
ประเทศญี่ปุ่นได้ถูกสถาปนาขึ้นในปี 660 ปีก่อนคริสตกาล
โดยจักรพรรดิจิมมุ หรือ จิมมุ เทนโน ผู้เป็นเชื้อสายโดยตรงของเทพเจ้าอะมาเตระสุ
เรื่องนี้จะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ไม่มีใครทราบแน่นอน
แต่นักประวัติศาสตร์หลายคนเชื่อว่าบางส่วนของบันทึกดังกล่าวเป็นเรื่องจริง
แต่จักรพรรดิที่มีพระองค์จริงพระองค์แรกคือจักรพรรดิโอจิง จักรพรรดิลำดับที่ 15 และพระราชสันตติวงศ์ยังคงสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
และหลังจากยุคนะระเป็นต้นมา อำนาจในการบริหารประเทศโดยตรงได้เริ่มออกห่างออกจากราชสำนักญี่ปุ่น
มาสู่ขุนนางในราชสำนัก โชกุน ทหาร และนายกรัฐมนตรีในปัจจุบันในที่สุด

"หลวงพ่อโตวัดโทได
สร้างขึ้นตามพระราชประสงค์ของจักรพรรดิโชมุ ในยุคนะระ"
ยุคเฮอัง
ญี่ปุ่นได้สร้างอารยธรรมใหม่ขึ้นพร้อมๆ
กับการล่มสลายของนะระ โดยยุคถัดมาคือ ยุคเฮอัง (เฮอังจิได)
เมื่อเมืองหลวงใหม่ซึ่งเลียนแบบเมืองหลวงของประเทศจีน "เฮอังเกียว"
ได้รับการสถาปนาเมื่อปี ค.ศ.
794 การย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่เมืองเฮอังเกียว
นับเป็นจุดเริ่มต้นของสมัยเฮอันซึ่งดำรงอยู่ยาวนาน รุ่งเรือง
และยิ่งใหญ่ที่สุดสมัยหนึ่งของการพัฒนาการในประเทศญี่ปุ่น
การติดต่อกับประเทศจีนหยุดชะงักลงในช่วงปลายศตวรรษที่ 9
และอารยธรรมญี่ปุ่นเริ่มที่จะมีลักษณะและรูปแบบเป็นของตนเอง
สิ่งเหล่านี้นับเป็นกระบวนการของการผสมกลมกลืนและการปรับเปลี่ยน
โดยที่สิ่งต่างๆ ซึ่งญี่ปุ่นรับมาจากภายนอกค่อยๆ กลายเป็นรูปแบบของญี่ปุ่นไปโดยปริยาย
ตัวอย่างที่เห็นได้โดยทั่วไปของกระบวนการนี้
คือการพัฒนาของตัวอักษรญี่ปุ่นในสมัยเฮอัน
ความซับซ้อนของการเขียนของจีนทำให้นักเขียนและพระคิดค้นรูปพยางค์ขึ้นสองระบบโดยยึดรูปแบบอย่างของจีน
ภายในกลางสมัยเฮอัน ได้มีการปรับปรุงพยัญชนะที่เรียกกันว่า ฮิระงะนะ และคะตะคะนะ
และนำมาใช้กันอย่างกว้างขวาง เช่นการนำมาเขียนในวรรณคดีเรื่องนิทานเกนจิ
นับเป็นการเปิดทางให้แก่งานเขียนที่มีรูปแบบเป็นของญี่ปุ่นอย่างแท้จริง
และมีการใช้กันอย่างแพร่หลายแทนถ้อยคำสำนวนที่ยืมมาจากภาษาจีน
ชีวิตในเมืองหลวงเป็นชีวิตที่หรูหราและสะดวกสบาย
ขณะที่ราชสำนักใช้เวลาทั้งหมดไปกับศิลปะและความสุขทางสังคม
อำนาจที่เคยมีเหนือกลุ่มที่มีอิทธิพลทางการทหารในหัวเมืองต่างๆจึงเริ่มจะคลอนแคลน
อำนาจในการควบคุมอาณาจักรอย่างมีประสิทธิภาพได้หลุดมือไป ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 11 อำนาจการปกครองบ้านเมืองได้หลุดไปอยู่ในมือของตระกูลฟุจิวะระ
และได้กลายเป็นสิ่งล่อใจสำหรับตระกูลนักรบที่เป็นปรปักษ์ต่อกันในช่วงปลายยุค
ได้แก่ ตระกูลมินะโมะโตะ และไทระ
ซึ่งเป็นตระกูลที่สืบทอดเชื้อสายมาจากจักรพรรดิองค์ก่อนๆ ทั้งสองตระกูล
ตระกูลมินะโมะโตะและไทระได้ต่อสู้ในการรบที่โด่งดังที่สุด
และมีความรุนแรงมากในยุคกลางอันวุ่นวายสับสนของญี่ปุ่น
ในที่สุดตระกูลมินะโมะโตะเป็นฝ่ายชนะสงคราม
โดยได้ทำลายล้างตระกูลไทระจนพินาศในศึกดันโนะอุระ (Battle of Dannoura) อันเกริกก้องและเลื่องลือในปี ค.ศ.1185
อันเป็นจุดจบของยุคเฮอัง เมืองหลวงเฮอังเกียว
หรือเกียวโตะยังคงมีฐานะเป็นเมืองหลวงของญี่ปุ่นมาอีกกว่า 600 ปี กระทั่งสิ้นสุดยุคเอะโดะในปี ค.ศ.1867
และย้ายเมืองหลวงมาที่โตเกียวในอีก 2 ปีต่อมา

"วัดเบียวโดอิง สมัยเฮอัง"

"ต้นฉบับภาษาญี่ปุ่น
ของม้วนภาพนิทานเก็นจิ ซึ่งเป็นวรรณคดีที่แสดงถึงสภาพสังคมและวัฒนธรรมต่างๆ
ในยุคเฮอังได้อย่างชัดเจน"
ยุคคะมะกุระ
ชัยชนะของตระกูลมินะโมะโตะแสดงถึงความเสื่อมของบัลลังก์อำนาจทางการเมืองของจักรพรรดิอย่างแท้จริง
และเป็นจุดเริ่มต้นของการปกครองโดยระบอบศักดินา ยุคกลางของญี่ปุ่น
ภายใต้การปกครองของโชกุน หรือผู้ปกครองทางการทหารที่สืบต่อกันมาอีก 700 ปี
ถัดจากยุคเฮอัง คือ ยุคคะมะกุระ
(คะมะกุระจิได) เริ่มต้นในปี ค.ศ.1185
ต่อมาในปี ค.ศ.1192 โยะริโตะโมะ
หัวหน้าตระกูลมินะโมะโตะที่เป็นผู้ชนะสงครามได้สถาปนาระบบโชกุน หรือรัฐบาลทหารขึ้น
ที่เมืองคะมะกุระใกล้กับนครหลวงโตเกียวในปัจจุบัน
และยึดอำนาจบริหารบางประการที่เคยเป็นอำนาจของจักรพรรดิในกรุงเกียวโตะ
เพื่อต้านสิ่งที่ถือว่าเป็นความเสื่อมของเกียวโตะที่ได้ฝักใฝ่ในสันติภาพ
โชกุนที่เมืองคะมะกุระได้สนับสนุนความมัธยัสถ์อดออมและศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัว
ตลอดจนความมีระเบียบวินัยซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นที่จะฟื้นฟูอำนาจการควบคุมทั่วทั้งแผ่นดินอย่างมีประสิทธิภาพกลับคืนมา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการควบคุมกลุ่มที่มีอิทธิพลทางการทหารในจังหวัดที่อยู่ไกลออกไป
สมัยคะมะกุระ
ซึ่งเป็นชื่อเรียกยุคของระบบโชกุนของโยริโตะโมะเป็นยุคที่มีแนวคิดในเรื่องของความกล้าหาญและรักเกียรติยศ
(bushido) ซึ่งเป็นวิถีชีวิตของซามูไร
ในปี ค.ศ.1213
อำนาจที่แท้จริงได้เปลี่ยนมือจากตระกูลมินาโมะโตะไปยังตระกูลโฮโจ
ซึ่งเป็นตระกูลทางภรรยาของโยะริโมะโตะโดยเป็นผู้สำเร็จราชการให้โชกุน
ตระกูลโฮโจค้ำจุนรัฐบาลที่เมืองคะมะกุระไว้ได้จนถึง ค.ศ. 1333 ในระหว่างนั้นกองทัพมองโกลได้บุกตอนเหนือของเกาะคิวชูถึง 2 ครั้ง ในปี ค.ศ. 1274 และ ค.ศ. 1281
ถึงแม้ว่าจะมีอาวุธที่ด้อยกว่าแต่นักรบญี่ปุ่นก็สามารถรักษาพื้นที่ไว้ได้และป้องกันไม่ให้ผู้รุกรานบุกลึกเข้าไปตอนในของประเทศ
หลังจากที่กองทัพเรือส่วนใหญ่ของชนเผ่ามองโกลประสบความเสียหายอย่างหนักจากพายุไต้ฝุ่นที่ญี่ปุ่นเรียกว่า
"คะมิคะเซ่" ในการบุกญี่ปุ่นทั้งสองครั้ง
กองทัพมองโกลจึงได้ถอยทัพไปจากญี่ปุ่น
และอำนาจของค่ายทหารคะมะกุระก็หมดลงในปีเดียวกันนั้นเอง
ยุคมุโระมะจิ
ถัดจากยุคคะมะกุระ
ก็เข้าสู่ยุคการฟื้นฟูอำนาจการปกครองโดยจักรพรรดิในช่วงสั้นๆ ตั้งแต่ ค.ศ. 1333 จนถึง ค.ศ.1337 แล้วต่อมาก็เข้าสู่ ยุคมุโระมะจิ
(มุโระมะจิจิได) ตระกูลอะชิคะงะได้ขึ้นเป็นตระกูลโชกุน โดยมีโชกุนคนแรกคืออะชิคะงะ
ทะกะอุจิ มี บะกุฮุ หรือค่ายทหารอยู่ที่มุโระมะจิในกรุงเกียวโต
ยุคนี้มีการพัฒนาระบบชลประทาน การเพาะปลูก
และเกิดการเติบโตของกิจการค้าขายและบริการ ในยุคนี้ระเบียบวินัยที่เคร่งครัดของลัทธิบุชิโดแสดงให้ปรากฏทั้งในด้านความงามทางศิลปะและศาสนา
และมีอิทธิพลลึกล้ำต่อศิลปะของประเทศ
ลักษณะเด่นซึ่งคงอยู่แม้ในปัจจุบันนี้คือลักษณะของความอดกลั้น และความเรียบง่าย
ยุคนี้ยังเป็นยุคแรกที่ชาวตะวันตกกลุ่มแรก ชาวโปรตุเกสได้เข้ามาสู่ญี่ปุ่นในปี
แต่ในปี ค.ศ. 1441
เกิดการลอบสังหารโชกุนขึ้น ทำให้การปกครองระบอบโชกุนเสื่อมถอยลง
และเกิดเป็นสงครามกลางเมืองขึ้นในปี ค.ศ. 1476
สงครามดำเนินมาอย่างยาวนานกว่า 100 ปี
จนญี่ปุ่นเข้าสู่ยุคย่อยๆ เรียกว่ายุคเซงโงะกุที่มีความหมายว่ายุคสงครามกลางเมือง
ในปี ค.ศ. 1568 โนะบุนะงะ โอะดะ
ซึ่งอยู่ในสถานะเจ้าเมืองได้เป็นใหญ่ในบริเวณตอนกลางของเกาะฮอนชูและต้องการรวบรวมประเทศให้เป็นปึกแผ่น
ในปีเดียวกันนั้นเขาจึงเริ่มกำจัดอิทธิพลอำนาจของมุโระมะจิ
และสร้างอารยธรรมอะซุจิโมโมะยะมะขึ้นมาแทน ในขณะเดียวกันก็สร้างความมั่นคงแก่ตนด้วย
ในปี ค.ศ. 1573 อารยธรรม มุโระมะจิหายไป
อารยธรรมอะซุจิโมโมะยะมะขึ้นมาแทนที่ ดังนั้นช่วง ค.ศ. 1568 - 1573 จึงเป็นช่วงเปลี่ยนแปลงอารยธรรมในปฏิทินเหตุการณ์ญี่ปุ่น ค.ศ. 1543

"วัดคิงกะกุ ในเมืองเกียวโต สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่พำนักของโชกุนอะชิกะงะ
โยชิมิสึในยุคมุโรมะจิ"