รายงาน
วิชา ประวัติศาสตร์ เอเชีย ( GOHI 3212 ) กลุ่มเรียนที่ 102
สาธารณรัฐอิรัก
จัดทำโดย
นายสามารถ ซุ่นใช้ รหัสนักศึกษา 5311216468
คณะศึกษาศาสตร์ เอกสังคมศึกษา
เสนอ
อาจารย์
: พิทยะ ศรีวัฒนสาร
ภาคเรียนที่
1
ปีการศึกษา 2556
มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม
คำนำ
รายงานเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา
ประวัติศาสตร์เอเชีย ( GOHI3212 ) จัดทำขึ้นเพื่อให้ผู้ที่สนใจศึกษาเกี่ยวกับข้อมูลต่างๆของประเทศอิรัก หรือสาธารณรัฐอิรัก ผู้จัดทำได้รวบรวมข้อมูลจากแหล่งข้อมูลมากมายไม่ว่าจะเป็น อินเตอร์เน็ต
หนังสือต่างๆที่เกี่ยวกับข้อมูลของประเทศอิรัก และได้จัดทำขึ้น
ในเนื้อหารายงานเล่มนี้ก็จะมีข้อมูลเกี่ยวกับ ข้อมูลทั่วไปของประเทศ ประวัติความเป็นมาของประเทศ โครงสร้างทางการเมือง โครงสร้างทางเศรษฐกิจ
โครงสร้างทางวัฒนธรรมโครงสร้างทางสังคม
ประวัติศาสตร์อิรัก การเข้าร่วมองค์กรต่างๆ ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับอิรัก
ผู้จัดทำได้ศึกษาและจัดทำรายงานเล่มนี้เพื่อให้ผู้อ่านได้เข้าใจถึงความเป็นมาและข้อมูลพื้นฐานของประเทศอิรัก
ผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่าผู้อ่านหรือผู้ที่ศึกษาจากรายงานเล่มนี้จะได้รับความรู้ไม่มากก็น้อย
หากเนื้อหาในรายงานเล่มนี้ยังไม่สมบูรณ์หรือขาดตกบกพร่องประการใด
ผู้จัดทำก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
สารบัญ
เรื่อง
หน้า
คำนำ (ก)
สารบัญ (ข)
ข้อมูลทั่วไปสาธารณรัฐอิรัก 1-2
ประวัติความเป็นมา 3
พัฒนาการทางการเมือง 4
สถานการณ์การเมืองภายในประเทศ 5
การคมนาคม 6
สมาชิกในองค์การระหว่างประเทศ 7
โครงสร้างทางเศรษฐกิจ 7
การปฏิรูประบบการค้า 8-9
ความสัมพันธ์ระหว่าไทยกับสาธารณะรัฐอิรัก 10-11
รูปแบบการปกครอง 12-14
ประวัติศาสตร์ของประเทศอิรัก 15
บรรณานุกรม
สาธารณรัฐอิรัก
ข้อมูลทั่วไป
ชื่อประเทศอย่างเป็นทางการ : สาธารณรัฐอิรัก (Republic
of Iraq) หรือ อิรัก (Iraq)
ที่ตั้ง : เอเชียตะวันออกกลาง
บริเวณอ่าวเปอร์เชีย ระหว่างประเทศอิหร่านและคูเวต
พื้นที่ : พื้นที่ทั้งหมด 437,072
ตารางกิโลเมตร (พื้นดิน 432,162 ตารางกิโลเมตร
พื้นน้ำ 4,910 ตารางกิโลเมตร)
อาณาเขต : พรมแดนยาว 3,650
กิโลเมตร มีอาณาเขตติดกับประเทศคูเวต (240 กิโลเมตร)
ซาอุดีอาระเบีย (814 กิโลเมตร) จอร์แดน (181 กิโลเมตร) ซีเรีย (605 กิโลเมตร) ตุรกี (352 กิโลเมตร) และอิหร่าน (1,458 กิโลเมตร)
สภาพภูมิประเทศ : พื้นที่ร้อยละ 40
เป็นทะเลทรายและที่ราบกว้างใหญ่
บริเวณพรมแดนอิหร่านด้านใต้เต็มไปด้วยแอ่งน้ำเต็มไปด้วยต้นไม้ประเภทต้นกกต้นอ้อซึ่งมักจะกลายเป็นบริเวณที่มีน้ำท่วม
พื้นที่บริเวณพรมแดนอิหร่านและตุรกีมีลักษณะเป็นภูเขา
ภัยธรรมชาติ
: พายุฝุ่น (Dust
Storm) พายุทราย (Sand Storm) น้ำท่วม
ประชากร
สังคมของอิรักเป็นสังคมหลากหลายชาติพันธุ์เป็นเหตุมาจากพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ที่เป็นแหล่งอารยธรรมมาหลายพันปี
พลเมืองของอิรักที่นับถือศาสนาอิสลามนั้น ได้แบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ
มุสลิมชีอะห์(ร้อยละ 65) และ มุสลิมสุหนี่ (ร้อยละ 20)นอกจากนี้ยังมีชาวเคิร์ดอยู่ในบริเวณเคอร์ดิสถาน ชาวเคริ์ดในอริรักมีอยู่ประมาณ 3,700,000 คน
นับว่าเป็นคนส่วนน้อยในอิรัก
และเนื่องด้วยรูปแบบการปกครองที่ให้สิทธิของชนชาติอาหรับ
และผูกขาดอำนาจทางเศรษฐกิจให้กับมุสลิมสุหนี่ ส่งผลให้
กลายเป็นปัญหาความขัดแย้งระหว่างศาสนา และชาติพันธุ์ในอิรัก
ทั้งกับมุสลิมด้วยกันเองคือ สุหนี่และชีอะห์ และยังปัญหาความขัดแย้งระหว่างชาวคิร์ดกับรัฐบาลกลางของอิรัก
เพื่อเรียกร้องสิทธิและความเท่าเทียมอีกด้วย
สภาพภูมิอากาศ
อากาศแบบทะเลทรายแห้งแล้ง ฝนตกน้อย ในฤดูร้อนอากาศร้อนจัดในฤดูหนาวอากาศหนาวจัด ฤดูร้อน (เมษายน - กันยายน)
อากาศร้อนจัด อุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 40-60
องศาเซลเซียส ฤดูหนาว (ตุลาคม - มีนาคม)
อากาศหนาว อุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 4-10 องศาเซลเซียส
ภูเขาด้านเหนือบริเวณพรมแดนอิหร่านและตุรกีจะมีฤดูหนาวในหน้าหนาว
บางครั้งหิมะตกอย่างหนักและจะละลายเมื่อย่างเข้าฤดูใบไม้ผลิ
ทำให้น้ำท่วมอย่างรุนแรงบริเวณภาคกลางและทางภาคใต้
ทรัพยากรธรรมชาติ
ปิโตรเลียม
ก๊าซธรรมชาติ ฟอร์สเฟท ซัลเฟอร์ นอกจากนั้น
แม่น้ำไทกริสและยูเฟรติสซึ่งไหลผ่านกลางประเทศเป็นแหล่งพลังงานและทรัพยากรที่สำคัญของอิรักอีกด้วย
ประวัติความเป็นมา
อิรักเป็นดินแดนที่มีประวัติศาสตร์และเป็นแหล่งอารยธรรมเก่าแก่ที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลกมีชื่อปรากฏอยู่ในประวัติศาสตร์สมัยโบราณ
เรียกว่า เมโสโปเตเมีย (Mesopotamia) หมายถึง
แผ่นดินที่ตั้งอยู่ระหว่างแม่น้ำสองสาย คือ แม่น้ำไทกริส (Tigis) และยูเฟรตีส (Euphrates) ดินแดนแห่งนี้จึงเป็นดินแดนที่มีความสมบูรณ์เป็นอย่างมาก
มีผู้คนอพยพจากที่ต่างๆ เพื่อมาอาศัยในดินแดนแห่งนี้ มีอาณาจักรโบราณหลายแห่ง อาทิ
อาณาจักรซูเมอร์ (Sumerian Civilization) อาณาจักรบาบิโลเนีย
(Babylonia) อัสซีเรีย (Assyria) มีเดีย
(Media) เป็นต้น ในศตวรรษที่ 8 Abassid caliphate ได้ตั้งเมืองหลวงขึ้น ณ กรุงแบกแดด ต่อมาในปี พ.ศ. 1996 พวกเติร์ก
แห่งจักรวรรดิออตโตมัน (Ottoman) ได้ยึดครองดินแดนที่เป็นอิรักได้เมื่อคริสต์ศตวรรษที่
17 ดินแดนแห่งนี้จึงอยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิออตโตมันจนสิ้นสงครามโลกครั้งที่
1 เมื่อปี พ.ศ. 2461
ในปี
พ.ศ. 2463 อิรักตกอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ
และได้รับอิสรภาพและประกาศเป็นราชอาณาจักรเมื่อปี พ.ศ. 2475
และต่อมาได้มีการปฏิวัติโค่นล้มระบบกษัตริย์และเปลี่ยนสถานะเป็นสาธารณรัฐอิรักตั้งแต่ปี
พ.ศ. 2501 มีการปกครองโดยประธานาธิบดี ทั้งนี้ อดีตประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซน
ได้เข้ารับตำแหน่งเมื่อปี 2522 และนำประเทศทำสงครามกับอิหร่านระหว่างปี พ.ศ.
2523-2531 ต่อมาอิรักได้ส่งกองทัพบุกยึดครองคูเวตเมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2533
จนทำให้เกิดสงครามอ่าวเปอร์เซียซึ่งกองกำลังสหรัฐฯ
และพันธมิตรได้ขับไล่กองกำลังอิรักออกจากคูเวตเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534
หลังจากสงครามอ่าวเปอร์เซีย
สหประชาชาติได้ประกาศคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่ออิรัก และต่อมาสหรัฐฯ
และพันธมิตรได้พยายามกดดันให้รัฐบาลอิรักทำลายอาวุธร้ายแรง ต่อมาเมื่อเดือนมีนาคม
พ.ศ. 2546 สหรัฐฯ และพันธมิตรได้ทำสงครามโค่นล้มรัฐบาลของประธานาธิบดีซัดดัม
ฮุสเซน และได้เข้ายึดการปกครองประเทศ
โดยได้จัดตั้งคณะบริหารประเทศชั่วคราวของกองกำลังพันธมิตร (Coalition
Provisional Authority - CPA) ตั้งแต่เดือนเมษายน พ.ศ. 2546
ต่อมา
ได้มีการส่งมอบอำนาจอธิปไตยคืนให้แก่รัฐบาลชั่วคราวของอิรัก (Iraqi
Interim Government) เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2547
และเมื่อวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2548 ได้มีการเลือกตั้งสมัชชาแห่งชาติ
ที่มีจำนวนสมาชิก 275 ที่นั่ง และได้มีการจัดตั้งรัฐบาลเปลี่ยนผ่าน (Transitional
Government) เมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2548 โดยมีนาย Jalal
Talabani ชาวเคิร์ดเป็นประธานาธิบดี และนาย
Ibrahim Al-Jaafari ชาวชีอะต์ เป็นนายกรัฐมนตรี
เพื่อทำหน้าที่บริหารประเทศ ต่อมาได้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญของอิรัก และลงประชามติรับรองรัฐธรรมนูญฉบับถาวรดังกล่าวเมื่อวันที่15ตุลาคม พ.ศ. 2548
เมื่อวันที่15ธันวาคม 2548อิรักได้จัดการเลือกตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติและมีการจัดตั้งรัฐบาลถาวรอิรัก เมื่อเดือนพฤษภาคม 2549 โดยนาย Jalal
Talabani ได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอิรักอีกครั้งหนึ่ง และนาย Nouri
Al-Maliki จากพรรค Dawa ของชาวอิรักนิกายชีอะต์
ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจนถึงปัจจุบัน
พัฒนาการทางการเมือง
ภายหลังสหรัฐฯ
ได้ประกาศสิ้นสุดสงครามเมื่อ พ.ค. 2546
กระบวนการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองได้ดำเนินการไปตามขั้นตอน
นับตั้งแต่สหรัฐฯ ได้ส่งมอบอำนาจการบริหารประเทศคืนให้กับอิรักเมื่อ มิ.ย. 2547 มีการเลือกตั้งสมาชิกสมัชชาแห่งชาติและจัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกาลเมื่อช่วงต้นปี
2548 มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับถาวรและจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติ
(ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับถาวร) เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2548
ซึ่งพรรคพันธมิตรของชาวชีอะต์ได้รับเสียงข้างมาก
โดยได้ที่นั่งในสภาจำนวน 128 ที่นั่งจากจำนวน 275 ที่นั่ง ขณะที่พรรคการเมืองของชาวสุหนี่ได้ที่นั่งรองลงมาจำนวน 69 ที่นั่ง กลุ่มชาวเคิร์ดได้ 53 ที่นั่ง
และกลุ่มผู้สมัครอิสระได้ 25 ที่นั่ง มีการเปิดประชุมสภาฯ
เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2549 ทั้งนี้ ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มต่างๆ ทำให้การจัดตั้งรัฐบาลอิรัก
เป็นไปอย่างล่าช้า
เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2549 สภานิติบัญญัติแห่งชาติอิรักได้เลือกนาย
Jalan Talabani อดีตประธานาธิบดีในช่วงรัฐบาลเฉพาะกาล
ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอิรักอีกครั้งหนึ่ง และลงมติรับรองให้นาย Nouri
Al-Maliki รองหัวหน้าพรรค Dawa ของชาวชีอะต์
อดีตโฆษกรัฐบาลเฉพาะกาล และเคยลี้ภัยไปอยู่ซีเรียในช่วงการปกครองของอดีตประธานาธิบดีซัดดัม
ฮุสเซ็น ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยมีรองนายกรัฐมนตรี 2 คน
ได้แก่ นาย Barham Salih และนาย Salam Al-Zubai โดยรัฐบาลถาวรของอิรักประกอบด้วยนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีรวม 37 คน
หมายเหตุ อิรักยังคงมีปัญหาในด้านการเมือง ซึ่งสหรัฐฯ และพันธมิตร รวมทั้งประเทศที่มีบทบาทสำคัญในภูมิภาค
โดยเฉพาะกลุ่มชาติอาหรับ ได้เรียกร้องให้อิรักเร่งสร้างความปรองดองและจัดสรรอำนาจทางการเมืองอย่างเป็นธรรมระหว่างกลุ่มศาสนานิกายต่างๆ
นอกจากนี้ยังมีปัญหาเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ
ซึ่งในอนาคตคาดว่าจะมีการแก้ไขในหลายประเด็น อาทิ
1. ข้อเสนอรูปแบบการปกครองแบบสมาพันธรัฐ
(federalism) ซึ่งถูกผลักดันโดยฝ่ายชีอะต์ อย่างไรก็ดี
ฝ่ายสุหนี่ไม่เห็นด้วย เนื่องจากเห็นว่า
จะนำมาซึ่งความแตกแยกของอิรักออกเป็นรัฐอิสระ โดยมองว่า ฝ่ายเคิร์ดที่อยู่ทางเหนือ
และฝ่ายชีอะต์ที่อยู่ทางตอนใต้ จะสามารถครอบครองแหน่งน้ำมันสำคัญในพื้นที่ตอนเหนือและตอนใต้ของประเทศ
2. ปัญหาเรื่องรูปแบบการจัดสรรรายได้ที่เกิดขึ้นจากน้ำมัน
ยังมิได้มีการกำหนดจัดสรรอย่างลงตัว
3. ปัญหาเรื่องการกำหนดสิทธิอำนาจในการให้สัมปทานน้ำมันของอิรัก
4. ปัญหาเรื่องการจัดสรรน้ำจืดระหว่างภาคต่างๆ
5. ปัญหาการระบุเกี่ยวกับรัฐอิรัก
ซึ่งฝ่ายสุหนี่ต้องการให้ระบุว่า อิรักเป็นรัฐอาหรับ อย่างไรก็ดี ฝ่ายเคิร์ด
ไม่ยอมรับ เนื่องจากเห็นว่าไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ซึ่งมีชาวเคิร์ดกว่า 6
ล้านคนมิได้มีเชื้อสายอาหรับ ดังนั้น
ในรัฐธรรมนูญจึงได้ระบุถ้อยคำเพียงว่า อิรักเป็นรัฐอิสลาม
และอิรักเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งสันนิบาตอาหรับ
สถานการณ์การเมืองภายในประเทศ
ความปลอดภัยในอิรัก
สถานการณ์ในอิรักยังมีความขัดแย้งและมีความรุนแรงอยู่โดยทั่วไป
โดยยังคงมีการดำเนินการในลักษณะต่างๆ ของฝ่ายต่อต้านกองกำลังสหรัฐฯ และพันธมิตร
รวมทั้งการต่อต้านรัฐบาลอิรัก ตลอดจนการต่อสู้ระหว่างกลุ่มศาสนาและเชื้อชาติ
ทั้งในลักษณะการระเบิดพลีชีพ การจับตัวประกันชาวต่างชาติและชาวอิรัก
และการเรียกค่าไถ่เพื่อหวังผลทางการเมืองและเพื่อเงิน
ตลอดจนการติดตามสังหารเจ้าหน้าที่การทูต และเจ้าหน้าที่ชาวต่างชาติซึ่งปฏิบัติหน้าที่ในอิรัก
ความเป็นอยู่ทั่วไป
ความเป็นอยู่ในอิรักโดยทั่วไปยังมีความยากลำบากเป็นอย่างยิ่ง
โดยเฉพาะเรื่องการขาดแคลนสาธารณูปโภคทุกประเภทที่สำคัญ อาทิเช่น ไฟฟ้า
และน้ำประปาสำหรับอุปโภคและบริโภค ระบบสาธารณูปโภคต่าง ๆ
ในอิรักถูกทำลายตั้งแต่ช่วงเกิดสงคราม และยังไม่ได้รับการบูรณะปรับปรุงตามที่คาดหมายไว้ไฟฟ้าในอิรักสามารถมีใช้ได้เพียง 2-3
ชั่วโมงต่อวันปัญหาเรื่องสุขอนามัยที่ยังมีปัญหาสืบเนื่องจากระบบการจัดการขยและมลภาวะที่เป็นพิษที่เกิดจากสงคราม นอกจากนี้
ยังมีปัญหาคนว่างงานและปัญหาอาชญากรรมภายในประเทศที่เกิดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ความขัดแย้งและการต่อสู้ระหว่างกลุ่มศาสนา
ความขัดแย้งและการต่อสู้ระหว่างกลุ่มศาสนาซึ่งมีกองกำลังติดอาวุธของตนเองยังปรากฏอยู่ในอิรักอย่างต่อเนื่องโดยรัฐบาลยังไม่สามารถใช้อำนาจรัฐได้อย่างทั่วถึง
จึงทำให้มีการอพยพหลั่งไหลของคนอิรักออกไปยังประเทศต่าง ๆ จำนวนนับล้านคน อาทิ
จอร์แดน มีผู้อพยพจากอิรักมายังจอร์แดนหลายแสน ซีเรีย ซูดาน และอียิปต์
ก็มีผู้อพยพไปอยู่เป็นจำนวนหลายแสนคนเช่นกัน
การคมนาคม
การเดินทางไปยังอิรักโดยรถยนต์
จะต้องผ่านเส้นทางและเขตต่าง ๆ ซึ่งตกอยู่ในพื้นที่อิทธิพลของฝ่ายต่อต้าน
และกลุ่มก่อการร้าย ดังนั้น การเดินทางโดยรถยนต์จึงไม่ปลอดภัยอย่างมาก
ซึ่งอาจถูกซุ่มโจมตี ถูกปล้น และถูกจับไปเป็นตัวประกันได้
การเดินทางโดยทางเครื่องบิน มีสายการบินอิรัก และสายการบินจอร์แดน
ซึ่งก็ปรากฏมีการสั่งปิดสนามบินกรุงแบกแดดอยู่เสมอ เนื่องจากสถานการณ์ความปลอดภัย
โดยไม่มีการประกาศให้ทราบล่วงหน้า
สมาชิกในองค์การระหว่างประเทศ
- องค์การสหประชาชาติและทบวงการชำนาญพิเศษต่าง
ๆ
- สันนิบาตอาหรับ (Arab League)
- องค์การการประชุมอิสลาม (Organization of Islamic Conference - OIC)
- กลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด (Non-Aligned Movement - NAM)
- องค์การประเทศผู้ผลิตน้ำมันเป็นสินค้าออก
(Organization of Petroleum
Exporting Countries - OPEC)
- องค์การประเทศอาหรับผู้ผลิตน้ำมันเป็นสินค้าออก
(Organization of Arab Petroleum
Exporting Countries - OAPEC)
- คณะมนตรีความร่วมมือแห่งอาหรับ (Arab Cooperation Council - ACC)
โครงสร้างทางเศรษฐกิจ
ระบอบเศรษฐกิจของอิรักเป็นแบบ
สังคมนิยม รวมอำนาจไว้ที่ศูนย์กลาง นั่นคือรัฐบาลกลางของอิรัก
มีระบบรัฐสวัสดิการมีการแจก ข้าว น้ำตาล ยารักษาโรคบางชนิด นม เสื้อผ้า
ให้แก่ประชากรของอิรัก เศรษฐกิจของอิรักค่อนข้างถูกกดดันจากประชาคมโลกโดยเฉพาะในช่วง
วิกฤติการณ์อ่าวเปอร์เซีย สงครามอิรัก และ ช่วงเหตุการณ์ 9/11
ทำให้เศรษฐกิจของอิรักบอบช้ำ แต่ปัจจัยทางเศรษฐกิจที่สำคัญของอิรักคือ น้ำมัน
อิรักเป็นประเทศที่มีน้ำมันไว้ในครอบครองเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากซาอุดีอารเบีย
โดยผลิตได้วันละ 2.58 ล้านบาห์เรล ต่อวัน
ส่งผลให้อิรักกลายเป็นดินแดนที่น่าสนใจอย่างยิ่งโดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจน้ำมันจากสหรัฐอเมริกา
ที่มุ่งหวังเข้าไปกอบโกยทรัพยากรล้ำค่า อย่าง ทองคำดำในอิรัก
อิรักมีรายได้หลักของประเทศจากการส่งออกน้ำมันดิบประมาณร้อยละ
95 นอกจากนั้น
มีรายได้จาก อินทผลัม ปุ๋ย และอื่น ๆ บ้างเล็กน้อยเท่านั้น
ในอดีตอิรักเคยเป็นประเทศที่มีความเจริญทางเศรษฐกิจสูงและเคยมีระบบการศึกษา
วิชาการและสาธารณสุขที่ก้าวหน้ามากประเทศหนึ่งในตะวันออกกลาง
อิรักมีปริมาณน้ำมันดิบสำรองประมาณ 115 พันล้านบาร์เรล
เป็นอันดับสองรองจากซาอุดีอาระเบีย รวมทั้งมีก๊าซธรรมชาติอีกจำนวนมหาศาล (ประมาณ 110
พันล้านลูกบาศก์ฟุต)
ช่วงทศวรรษที่ 80 และ 90 อิรักเผชิญกับความยากลำบากจากสงครามกับอิหร่าน
รวมทั้งสงครามอ่าวเปอร์เซีย ตลอดจนการอยู่ภายใต้มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ ทำให้ระบบเศรษฐกิจ
ระบบสาธารณูปโภค สภาพแวดล้อม โครงสร้างพื้นฐานถูกทำลาย ได้รับความเสียหายอย่างหนัก
ปัจจุบัน รัฐบาลอิรัก โดยการสนับสนุนจากองค์การสหประชาชาติ ตลอดจนนานาประเทศ
ได้พยายามฟื้นฟูสภาพการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมอิรัก
ภายใต้แผนระดมการสนับสนุนเพื่อพัฒนาประเทศอิรักในระยะยาว
"International
Compact with Iraq" อัตราว่างงานในอิรักยังคงสูงระดับร้อยละ
28-50 อย่างไรก็ดี
ธนาคารโลกคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจในภาพรวมมีแนวโน้มฟื้นตัวเร็วขึ้น
เนื่องจากการที่สามารถฟื้นฟูภาคอุตสาหกรรมน้ำมันได้ และอยู่ในขั้นตอนที่จะกลับเข้าสู่ระบบการค้าโลกได้
การปฏิรูประบบการค้า
ภายหลังสงคราม
รัฐบาลอิรักได้พยายามฟื้นฟูระบบการค้าและเศรษฐกิจ
โดยยกเว้นการเก็บภาษีและค่าธรรมเนียมนำเข้าสินค้าอิรักทุกประเภท อย่างไรก็ดี
เมื่อวันที่ 15 เม.ย. 2547 ได้เริ่มมีการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าต่างๆ ในอัตราร้อยละ 5 โดยยกเว้นสินค้า ประเภท อาหาร ยา เวชภัณฑ์ เครื่องนุ่งห่ม
สินค้าด้านมนุษยธรรม รวมทั้งสินค้าสำหรับโครงการก่อสร้างเพื่อฟื้นฟูบูรณะประเทศ รัฐบาลอิรักพยายามปรับปรุงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
และแก้ไขระเบียบการค้าเพื่ออำนวยความสะดวก รวมทั้งส่งเสริมการติดต่อกับบริษัทจากประเทศต่างๆรวมทั้งปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น การปรับปรุงสนามบินนานาชาติแบกแดด
การเปิดทำการของสายการบิน Royal Jordanian (อัมมาน-แบกแดด-อัมมาน)
ปรับปรุงท่าเรือ Umm Qasr และ Az Zubair (เริ่มมีการขนส่งสินค้าทางเรือเฉลี่ยเดือนละ
60 เที่ยว)
การส่งเสริมการลงทุน
แต่เดิมอิรักภายใต้การปกครองของซัดดัม
ฮุสเซ็น ได้จำกัดการลงทุนของต่างชาติ (เช่นเดียวกับชาติอาหรับหลายประเทศ
ซึ่งจำกัดให้คนชาติตน เป็นผู้ถือใบอนุญาตประกอบธุรกิจ) อย่างไรก็ดี
หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ได้มีการออกระเบียบเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2547 อนุญาตให้ชาวต่างชาติเป็นเจ้าของกิจการได้ร้อยเปอร์เซ็นต์
และถือครองกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ได้ ยกเว้น การครอบครองทรัพยากรธรรมชาติ
(อิรักต้องการสงวนการครอบครองทรัพยากรน้ำมัน)
และมีการออกกฎระเบียบที่อำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุนธุรกิจการค้าภายในอิรัก
ผู้ประกอบการสามารถเช่าอสังหาริมทรัพย์ได้ระยะยาวถึง 40 ปี (แต่ไม่สามารถเป็นเจ้าของ) อย่างไรก็ดี
ผู้ประกอบการจะต้องพิจารณาด้วยความรอบคอบในการเช่า (เช่น
บางกรณีมีการขอขึ้นค่าเช่าในแต่ละปีหลายเท่าตัว)
อิรักเปิดกิจการตลาดหลักทรัพย์ไปเมื่อวันที่
24 มิ.ย. 2547 มีมูลค่าการซื้อขายยังไม่มากนัก และยังไม่เปิดการลงทุนให้กับนักลงทุนต่างชาติ
ตลาดหลักทรัพย์อิรักทำการ 2 วันต่อสัปดาห์ และวันละ 2
ชั่วโมง รัฐบาลเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและบริษัท
(corporate and personal income taxes) โดยทั่วไปไม่เกินร้อยละ
15 นอกจากนี้
รัฐบาลอิรักได้จัดตั้ง Iraqi Business Center Alliance ภายใต้กระทรวงพาณิชย์
เพื่อช่วยเหลือนักลงทุนต่างชาติ
ในการเข้าไปลงทุนในอิรัก และช่วยจัดหาผู้ร่วมลงทุนท้องถิ่น (domestic
partners)
การเงินและการธนาคาร
รัฐบาลอิรักมีนโยบายส่งเสริมระบบเศรษฐกิจแบบเสรีโดยพยายามปรับปรุงระบบการเงินการธนาคารให้ได้มาตรฐาน หลังจากถูกควบคุมอย่างเข้มงวดภายใต้ระบอบซัดดัมฮุสเซ็นมาอย่างยาวนาน เช่น การสร้างความเป็นอิสระของธนาคารชาติ
การจัดตั้งธนาคารเพื่อการค้า (Trade Bank of
Iraq) การจัดตั้งตลาดหลักทรัพย์ การป้องกันการฟอกเงิน เป็นต้น
รวมทั้งการพัฒนาธนาคารท้องถิ่นให้มีมาตรฐานสากล
อิรักมีธนาคารและสถาบันการเงินท้องถิ่น
6 แห่ง
โดยธนาคารสำคัญได้แก่ ธนาคาร Rafidain และธนาคาร Rashid
ที่ผ่านมา ธนาคารและสถาบันการเงินทั้ง 6 แห่ง
ยังมีหนี้สินจำนวนมาก และไม่พร้อมสำหรับการประกอบกิจการติดต่อธุรกิจในต่างประเทศ
อย่างไรก็ดี ตั้งแต่วันที่ 28 ต.ค. 2547 เป็นต้นมา ธนาคารชาติอิรักได้สั่งการให้ธนาคารต่างๆ ของอิรัก
เปิดธุรกิจปริวรรตเงินตราและการค้าระหว่างประเทศ (international payment,
remittances, foreign currency L/C) รัฐบาลอิรักพยายามส่งเสริมให้ธนาคารต่างชาติเข้าไปลงทุนในอิรัก
ที่ผ่านมา มีธนาคารต่างชาติได้รับใบอนุญาตประกอบการในอิรัก แต่ยังไม่เปิดทำการ
ได้แก่ Hong Kong Shanghai Banking Corporation, Standard Chartered Bank,
Arab Banking Corporation และ National Bank of Kuwait (NBK)
แม้ธนาคารอิรักยังไม่มีความพร้อม
แต่เพื่ออำนวยความสะดวกสำหรับการประกอบธุรกิจการค้า
รัฐบาลอิรักจึงได้จัดตั้งธนาคารเพื่อการค้า (Trade
Bank of Iraq : TBI) ซึ่งลงทุนร่วมกับ J.P. Morgan Chase อำนวยความสะดวกด้านการเงินและการค้ำประกัน (trade finance and
short-term credit) ให้กับบริษัทท้องถิ่นและบริษัทต่างชาติ
โดยเฉพาะผู้นำเข้า ที่ผ่านมา มีการเปิด L/C ไปแล้วจำนวนกว่า 900
รายการ (ปี 2548)มูลค่าประมาณ 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้กับ international suppliers ไม่ต่ำกว่า 59 ประเทศนอกจากนี้
ยังมีสถาบันการเงินระหว่างประเทศอื่นๆ และกองทุนที่เกิดจากการร่วมลงทุน
ที่ให้ความสะดวกและค้ำประกันการค้า เช่น การลงทุนร่วมระหว่างกระทรวงการคลังอิรัก
และ TBI และ Ex-Im Bank ของสหรัฐฯ
มูลค่าประมาณ 500 ล้านดอลลาร์ สถาบันการเงิน International
Finance Corporation (IFC) ของ World Bank จัดตั้งกองทุนมูลค่า
170 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อย
และกองทุนสนับสนุนโครงการก่อสร้างฟื้นฟูบูรณะของ IMF มูลค่า 436
ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นต้น
ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสาธารณรัฐอิรัก
ประเทศไทยกับอิรักสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน
เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2499
(1956) ไทยมีสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงแบกแดด และอิรักมีสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทพฯ อย่างไรก็ดี ในระหว่างสงครามสหรัฐฯ บุกโจมตีอิรักได้มีการปิดที่ทำการสถานเอกอัครราชทูตอิรักในกรุงเทพฯ ในส่วนของไทยเจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงแบกแดด ได้อพยพออกจากอิรักก่อนสงคราม
เมื่อวันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2546
และได้จัดตั้งสำนักงานชั่วคราวในกรุงอัมมาน ประเทศจอร์แดน
โดยยังคงมีเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นดูแลอาคารสถานเอกอัครราชทูตในกรุงแบกแดด
ไทยและอิรักมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
โดยไม่เคยมีข้อขัดแย้งทางการเมืองระหว่างกัน ในช่วงหลังสงคราม
ไทยมีนโยบายให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่อิรัก อาทิ
การช่วยเหลือด้านอาหารผ่านองค์กรระหว่างประเทศ เช่น WFP นอกจากนี้
ยังให้ความช่วยเหลือด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ด้วยการหลักสูตรฝึกอบรมในสาขาต่างๆ
ให้แก่บุคลากรอิรักในประเทศไทยจนถึงปัจจุบัน
ปัจจุบัน ไทยเปิดสถานเอกอัครราชทูต
ณ กรุงอัมมาน ซึ่งมีภารกิจครอบคลุมอิรัก เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงอัมมาน ได้แก่
นายอิสินทร สอนไว ในส่วนของอิรัก สอท.อิรัก ถนนประดิพัทธ์ กรุงเทพฯ
ได้ปิดทำการไปตั้งแต่ช่วงสงคราม สหรัฐฯ - อิรักเดือนเมษายน พ.ศ. 2546
ไทยและอิรัก
ได้จัดตั้งคณะกรรมาธิการร่วมด้านการค้า (Joint
Trade Committee - JTC) เมื่อปี 2527
โดยอิรักได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมครั้งแรกที่กรุงแบกแดด เมื่อปี 2531 และครั้งที่สองเมื่อปี 2543 สำหรับครั้งที่ 3 ไทยได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระหว่างวันที่ 8-12
มกราคม 2545
ไทยให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่อิรักมาโดยตลอด
นับตั้งแต่อิรักถูกคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจหลังสงครามอ่าวเปอร์เซียครั้งแรก
และในช่วงหลังสงครามสหรัฐฯ และอิรัก ไทยได้บริจาคเงินผ่าน ICRC จำนวน 10 ล้านบาท
ช่วยเหลือด้านอาหารมูลค่า 20 ล้านบาทผ่าน WFP และส่งกองกำลังเฉพาะกิจฯ ไปช่วยเหลือด้านการแพทย์
และบูรณะซ่อมแซมเป็นระยะเวลา 1 ปี
รวมทั้งล่าสุดได้ให้ความช่วยเหลือด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
โดยจัดหลักสูตรฝึกอบรมให้กับชาวอิรักในสาขาต่างๆ ตามความต้องการจนถึงปัจจุบัน
การให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ชาวอิรักของ กกล.ฉก.976 ไทย/อิรัก ระหว่าง ตุลาคม 2546กันยายน 2547
ตามมติของสหประชาชาติที่
1483 เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2546
ให้สมาชิกสหประชาชาติให้การสนับสนุนกองกำลังพันธมิตรในการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่อิรักเป็นการเร่งด่วน
และให้การสนับสนุนฟื้นฟูบูรณะอิรักให้กลับเข้าสู่สภาวะปกติ
รัฐบาลไทยจึงได้เสนอให้ความช่วยเหลือในการพัฒนาและฟื้นฟูอิรักหลังสงครามโดยเน้นให้การช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเป็นหลัก
โดยจัดตั้ง กองกำลังเฉพาะกิจปฏิบัติการเพื่อมนุษยธรรม 976
ไทย/อิรัก หรือ กกล.ฉก.976 ไทย/อิรัก จำนวน 2 ผลัด ผลัดละ 443 นายไปปฏิบัติหน้าที่ในเมืองคาร์บาลา
ประเทศอิรัก ตั้งแต่เดือน ต.ค. 2546 - ก.ย. 2547
·
ด้านการช่าง
สนับสนุนฟื้นฟูบูรณะอิรัก
ได้แก่ การซ่อมสร้างถนน 13 สาย อาคารโรงพยาบาล
โรงเรียน สถานที่สาธารณและระบบสาธารณูปโภคที่ได้รับความเสียหาย
·
ด้านการแพทย์
เปิดบริการ MOBILE CLINIC ให้การรักษาพยาบาลแก่ชาวอิรักในเขตพื้นที่เมืองคาร์บาร่าและบริเวณใกล้เคียง
ให้การรักษาพยาบาลแก่ชาวอิรักเป็นจำนวน 32,241 ราย
·
ด้านส่งเสริมการเกษตร
ในผลัดที่ 2 มีการส่งชุดส่งเสริมการเกษตรเข้าไป
แนะนำด้านการเกษตรกรรม เพื่อให้ชาวอิรักสามารถประกอบอาชีพเลี้ยงตัวเองได้
มีการนำพันธุ์พืชแจกจ่ายให้กับชาวอิรัก
รวมทั้งจะมีการอบรมการใช้ปุ๋ยเพื่อให้พื้นดินเหมาะสมกับการเพาะปลูก
ซึ่งได้ผลเป็นอย่างดีมาแล้วในติมอร์ตะวันออก
·
ด้านกิจการพลเรือน
-
ปฏิบัติงานชุมชนสัมพันธ์รอบค่ายลิม่า
โดยจัดชุดแพทย์เคลื่อนที่เดินทางไปให้บริการประชาชนชาวอิรัก และนำสิ่งของอุปโภค
บริโภค ซึ่งประกอบด้วย ข้าวสาร ผ้าห่ม ปลากระป๋อง นมกระป๋องสำหรับทารก ของเด็กเล่น
ฯลฯ
- ปัจจุบัน กกล.ฉก. 976 ฯ ถอนตัวออกจากอิรักทั้งหมดแล้ว ตั้งแต่เดือนกันยายน ปี 2547
รูปแบบการปกครอง
ประชาธิปไตยแบบมีรัฐสภา
(Parliamentary Democracy)
เมืองหลวง
กรุงแบกแดด (Baghdad) ตั้งอยู่ตอนกลางของประเทศ
เมืองสำคัญได้แก่ เมือง Mosul และเมือง Kirkuk ทางตอนเหนือ และเมือง Basrah ซึ่งเป็นเมืองท่าสำคัญทางตอนใต้
การแบ่งการปกครอง
18 เขตการปกครองที่มีผู้ว่าการรัฐ
หรือ Muhafazah ดูแล และ 1 ภูมิภาค
ได้แก่ Al Anbar, Al Basrah, Al Muthanna, Al Qadisiyah (Ad Diwaniyah), An
Najaf, Arbil (Erbil), As Sulaymaniyah, Babil, Baghdad, Dahuk, Dhi Qar, Diyala,
Karbala', Kirkuk, Kurdistan Regional Government*, Maysan, Ninawa, Salah ad Din, Wasit
วันที่ได้รับเอกราช 3 ตุลาคม
พ.ศ. 2475
รัฐธรรมนูญ
อนุมัติเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2548 (Subject to
review by the Constitutional Review Committee and a possible public referendum)
ระบบกฏหมาย
ระบบกฎหมายผสมผสานระหว่างระบบประมวลกฎหมายและกฎหมายอิสลาม
ฝ่ายบริหาร
ประธานาธิบดีเป็นประมุขของรัฐ
นายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร คณะรัฐมนตรี (Council of Ministers) ประกอบด้วยนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างๆ
ที่ได้รับการเสนอชื่อจากนายก โดยได้รับการลงคะแนนรับรองด้วยเสียงข้างมากจากรัฐสภา
รัฐสภาเป็นผู้เลือกประธานาธิบดี วาระการดำรงตำแหน่ง 4 ปี
สามารถดำรงตำแหน่งเป็นวาระที่ 2 ได้
ฝ่ายนิติบัญญัติ
ระบบสภาเดียว (unicameral Council of Representatives) สมาชิกจำนวน
325 ที่นั่ง ประกอบด้วยสมาชิก 317 คนมาจากการเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อแบบเปิด
( open-list) หรือ
จากระบบตัวแทนแบบสัดส่วนจากหน่วยงานปกครองเฉพาะ (specific governorate,
proportional representation system) และอีก 8 ที่นั่งสงวนไว้สำหรับชนกลุ่มน้อย
วาระการดำรงตำแหน่ง 4 ปี (หมายเหตุ: ตามรัฐธรรมนูญของอิรัก
กำหนดให้มีการก่อตั้งสภาสูง (upper house) เรียกว่า the
Federation Council)
ฝ่ายตุลาการ
กฎหมายรัฐธรรมนูญของอิรักระบุให้อำนาจฝ่ายตุลากาลของรัฐ
(Federal judicial power) ประกอบด้วย
·
Higher Judicial
Council,
·
Federal Supreme
Court,
·
Federal Court of
Cassation,
·
Public
Prosecution Department,
·
Judiciary
Oversight Commission
·
ศาลอื่นๆ
ที่อยู่ภายใต้กฎบัญญัติของกฏหมาย
แผนที่การแบ่งเขตการปกครอง
|
เขตปกครองตนเองเคอร์ดิสถาน
(Kurdistan Autonomous Region) ซึ่งได้รับการรับรองโดยรัฐธรรมนูญ มีพื้นที่รวมบางส่วนของจังหวัดทางเหนือ
และปกครองตนเองในเรื่องราชการภายในส่วนใหญ่
ประวัติศาสตร์ของประเทศอิรัก
- พ.ศ. 2281 - ตกอยู่ใต้อาณาจักรออตโตมาน
- พ.ศ. 2465 - ตกอยู่ใต้การปกครองของอังกฤษ
- พ.ศ. 2475 - สิ้นสุดการเป็นรัฐในอาณัติของอังกฤษ เข้าเป็นสมาชิกสันนิบาตชาติ
- พ.ศ. 2501 - เปลี่ยนระบบการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชเป็นสาธารณรัฐ
- พ.ศ. 2511 - เริ่มต้นการปกครองโดยพรรคบาธ
โดยมีประธานาธิบดี Ahmad Masan Al Bakr และรองประธานาธิบดี
ซัดดัม ฮุสเซน (Saddam Hussein)
- พ.ศ. 2522 - ซัดดัม ฮุสเซน ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี
- พ.ศ. 2523-2531
-สงครามระหว่างอิรัก-อิหร่าน (สงครามอ่าวครั้งที่ 1)
- พ.ศ. 2533 - เข้ายึดครองคูเวต(สงครามอ่าวครั้งที่ 2)
- พ.ศ. 2533 – ถูกคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจโดยสหประชาชาติ
บรรณานุกรม
ประเทศอิรัก
จากเว็บไซต์กระทรวงต่างประเทศ
บรรณนุกรม
ประเทศอิรัก (ข้อมูลท่องเที่ยวอิรัก.) 11 ธันวาคม 2553
http://th.tixik.com/c/-2/ 11 ธันวาคม 2553 (ประเทศอิรัก.)
10 ธันวาคม 2553
กองตะวันออกกลาง
กรมเอเชียใต้ ตะวันออกกลางและแอฟริกา กระทรวงการต่างประเทศ